วันนี้ จขบ จะมาแบ่งปันเกร็ดความรู้ดีๆที่ได้จากชั้นเรียน Innovative Thinking หลังจากที่ไม่ได้เรียนมาสองครั้งติด เนื่องจากอาจารย์ติดธุระ และติดวันรับปริญญา สำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ จขบ เห็นว่าน่าสนใจมากๆ อยากให้ทุกคนได้อ่าน และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
หัวข้อที่เรียนวันนี้ ได้แก่ กลยุทธ์การตั้งคำถาม และกลยุทธ์การคิดนอกกรอบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการก่อกำเนิดความคิดสร้างสรรค์ ขอเริ่มจากกลยุทธ์ในการตั้งคำถามก่อน การตั้งคำถามเป็นกระบวนการที่ช่วยกระตุ้นความคิดของเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการถามว่า “ทำไม” ดังคำคมของ Tom Hirshfield ที่ว่า
“If you don't ask why this often enough, somebody will ask why you.”
หรือแปลง่ายๆว่า การที่คุณไม่ถามว่า’ทำไม’บ่อยๆ จะไม่ทำให้เกิดการพัฒนาตัวเอง จนกระทั่งวันนึงจะมีคนถามว่า”ทำไมต้องเป็นคุณ?”
เทคนิคง่ายๆในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดหรือไอเดียใหม่ๆ คือ ให้ลงท้ายคำถามว่า “โดยวิธีได้บ้าง?” เช่น แทนที่จะถามว่า “วันนี้คุณเดินทางมามหาวิทยาลัยจุฬาฯด้วยวิธีใด?” ให้เปลี่ยนเป็นถามว่า “เราสามารถเดินทางไปจุฬาได้ด้วยวิธีใดบ้าง?” เห็นมั้ยครับว่า การถามแบบแรกนั้นจะได้เพียงคำตอบเดียว แต่ถ้าลงท้ายด้วย “โดยวิธีใดบ้าง?” จะเป็นการกระตุ้นความคิดเราให้คิดหาความตอบจำนวนมากออกมา เป็นวิธีง่ายที่จะช่วยเราสร้างไอเดียใหม่
เทคนิคต่อมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า “Why-Why Diagram” ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ มาดูตัวอย่างการใช้กันดีกว่า จะได้เข้าใจมากขึ้น สมมติเราอยากรู้ว่า เอ๊ะ…ทำไมเทอมนี้เกรดเราตกนะ? เราสามารถใช้ Why-Why Diagram ช่วยค้นหาสาเหตุได้ ดังนี้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น จริงๆแล้ว เราสามารถวิเคราะห์ต่อไปอีกได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสามระดับ เหมือนในตัวอย่างทุกครั้ง สรุปคือ Why-Why Diagram เป็นเทคนิคที่ช่วยในการหาต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา
มาถึงอันต่อมาเป็นเทคนิคง่ายๆที่เรียกกันว่า การถามตรงกันข้าม อย่าพึ่งแปลกใจ มันง่ายและใช้ประโยชน์ได้จริง ใช้ในกรณีที่ถามตรงๆแล้วคิดคำตอบไม่ออก เช่น เราจะทำอย่างไรให้เกรดดีขึ้น? -- ตอบยากถูกมั้ยครับ (ฮา) แต่ถ้าลองถามตรงกันข้ามดู คือถามว่า เราจะทำอย่างให้เกรดแย่ลง? -- งานนี้พนันได้เลย แต่ละคนสามารถสรรหาคำตอบแปลกๆมาประชันกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อได้คำตอบเหล่านั้นแล้วเราก็แค่กลับคำตอบนั้นอีกที อย่างเช่น คำตอบของคำถามที่แล้ว ได้แก่ หลับในห้องเรียน โดดเรียน ลอกการบ้าน คำตอบที่เราต้องการก็จะเป็น ไม่หลับในชั้นเรียน เข้าเรียนสม่ำเสมอ ทำการบ้านด้วยตัวเอง เป็นต้น
เทคนิคสุดท้ายแล้วครับ… คือ Ask “What if?” หรือ ถามว่า “อะไรจะเกิดขึ้น ถ้า…” เป็นเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการ ภาพยนต์ หรือนวนิยายหลายเรื่องก็ใช้เทคนิคนี้ เช่น เรื่องอิคิงามิ (IKIGAMI) เป็นภาพยนต์ที่สร้างจากการ์ตูน “อิคิงามิ สาส์น สั่ง ตาย” พล็อตของเรื่องนี้คือ ในยุคที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายที่บังคับให้ประชาชนทุกคนถูกฉีดวัคซีนที่มีสารพิษในอัตราส่วน 1:1000 สารพิษนี้จะออกฤทธิ์เมื่อมีอายุในช่วง 18-24 ปี โดยจะแจ้งให้ทราบ 24 ชั่วโมงก่อนครบกำหนด ใบแจ้งมรณะนี้ เรียกกันว่า “อิคิงามิ” ซึ่งพล็อตของเรื่องนี้เกิดจากคำถามง่ายๆที่ว่า “อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ารู้ว่าอีก 24 ชั่วโมงจะต้องตาย” นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย เช่น “Death Note” -- อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราสามารถควบคุมความตายของผู้อื่นได้ “Sunshine” -- อะไรจะเกิดขึ้นถ้าดวงอาทิตย์กำลังจะดับ หรือแม้กระทั่ง หนังเข้าใหม่อย่าง “Inception” -- อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคนเราสามารถฝันร่วมกันได้ เช่นนี้เป็นต้น จะเห็นได้ว่า Ask “What if?” เป็นเทคนิคที่สำคัญมาก ในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
จบไปแล้วนะครับ สำหรับกลยุทธิ์การตั้งคำถาม ครั้งหน้าจะเป็นเรื่อง กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ ติดตามอ่านกันได้นะครับ To Be Continue,,,,,
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น