ชั้นเรียน Innovative Thinking วันนี้ ปราศจากการเรียนการสอน เนื่องจากอาจารย์อู้.. เอ๊ย..ล้อเล่นครับ อาจารย์ติดธุระต้องไปสอน juggling โชว์ที่แยกราชประสงค์ วันนี้อาจารย์ให้พวกเราดูหนัง ใช่แล้วครับ ดูหนัง แต่ไม่ใช่นั่งดูชิวๆเหมือนอยู่บ้าน หรือ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เพราะว่าก่อนดูหนังอาจารย์ผู้ใจดีก็แจกคำถามให้ตอบหลังดูเสร็จ แค่อ่านคำถามข้อแรกก็ปวดตับแล้วครับ คำถามที่พอจำได้ ก็เช่น “ฉากไหนที่ประทับใจที่สุด?” “ฉากไหนที่ตรงกับหลักการความคิดสร้างสรรค์ที่เรียนในชั้นเรียน?” และ “ถ้าเปลี่ยนตอนจบได้ อยากให้เป็นแบบไหน?” โดยปกติแล้ว จขบ เป็นคนที่ดูหนังแล้วไม่ได้คิดตาม ดูเอามัน เอาอารมณ์อย่างเดียว จึงไม่ชอบพวกคำถามหลังดูแบบนี้ มันทำให้ความสนุกของหนังลดลง 10% แต่อย่างไรก็ตาม เมื่ออาจารย์สั่งงานเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำ ก่อนอื่นจะขอพูดคร่าวๆเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก่อน เพราะเป็นหนังสนุก และให้ข้อคิดดีๆเยอะ
พล่ามซะยาว ลืมบอกชื่อหนังกันเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า “Dead Poets Society” หรือแปลตรงตัวตามซับไตเติ้ลว่า “ชมรมกวีไร้ชีพ” หลายคนฟังชื่อหนังแล้วคงบอกผ่าน เพราะชื่อหนังฟังดูน่าจะเป็นหนังน่าเบื่อสิ้นคิด แต่เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งตัดสินอะไรๆจากรูปลักษณ์ภายนอก เรื่องนี้เป็นถึงหนังรางวัล Oscar มีอะไรดีๆแฝงอยู่เยอะครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนเตรียมแห่งหนึ่งของอเมริกาชื่อ Welton โรงเรียนนี้ยึดมั่นในจารีตประเพณี เข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย ยึดติดกับวิธีการสอนแบบเก่าๆ จนกระทั่ง ครูเใหม่ที่ชื่อว่า จอห์น คีตติ้ง เข้ามา ครูคนนี้มีแนวคิดที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เต้าเน้นการสอนมห้นักเรียนคิดเองเป็น แตกต่างจากการสอนในสมัยนั้น ที่สอนให้นักเรียนท่องจำตามตำราเป๊ะๆ ทำให้เค้าถูกครูหัวโบราณหลายคนเขม่นเอา เนื่องจากไม่เชื่อว่านักเรียนในวัยนี้จะคิดเองได้ ประกอบกับวิธีการสอนในชั้นเรียนของครูคีตติ้งค่อนข้างจะล้ำสมัยไปหน่อย อย่างเช่น ฉีกบทนำว่าด้วยการตีค่าความงามของบทกวีทิ้ง เพราะเรื่องแบบนี้ต้องคิดเองได้ หรือให้นักเรียนยืนบนโต๊ะ เพื่อจะได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ เป็นต้น
มีนักเรียนกลุ่มนึงที่ชื่นชอบในการสอนของครูคีตติ้ง รวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มที่ชื่อว่า “ชมรมกวีไร้ชีพ” หรือ “Dead Poets Society” เหมือนกับที่ครูคีตติ้งเคยทำเมื่อครั้งที่เคยเรียนอยู่ที่นี่ โดยนัดชุนนุมกับยามวิกาล ณ ถ้ำหลังโรงเรียน ผลัดกันอ่านบทกวี
เรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปพร้อมกับพัฒนาการของนักเรียนใน “ชมรมกวีไร้ชีพ” เราจะเห็นได้ถึงการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของตัวละครผ่านการผลักดันของครูคีตติ้ง อย่างเช่น ท็อดด์ แอนเดอร์สัน เป็นคนเก่งแต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก ภายหลังครูคีตติ้งใช้เทคนิคปลุกความกล้าในตัวเขาออกมา
หรือแม้กระทั่งตัวละครอีกตัวที่มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้อย่าง นีล เพอร์รี่ ที่ตัดสินใจเลือกแสดงละครตามความฝันของตน แม้จะต้องฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาเลือกในตอนจบอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก (บอกไม่ได้ว่าคืออะไร ไม่งั้นจะสปอยล์หนัง) แต่ถึงอย่างไร เขาก็ได้ทำตามความฝันของเขา ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูก ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในคำสอนของครูคีตติ้ง ซึ่งตัว จขบ ชอบที่สุด
“Carpe Diem คาร์-เป-เดียม”
เป็นภาษาละติน แปลว่า “Seize the Day” หรือ “จงฉกฉวยวันเวลา” แปลเป็นภาษาพูดง่ายๆว่า ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไป แล้วมานั่งเสียใจในภายหลัง
นอกจากนี้แล้ว ตอนจบของหนังเรื่องนี้ยังซาบซึ้งและกินใจเป็นที่สุด อยากให้ผู้อ่านทุกคนได้ดูเรื่องนี้เช่นกัน ตอนที่ จขบ ดูเรื่องนี้จบ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกเรื่องนี้มาให้ดู นอกจากเนื้อหาของหนังจะเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์โดยตรง แล้วยังมีแนวคิดในการดำเนินชีวิตอีกมากมายที่หนังเรื่องนี้พยายามถ่ายทอดมาให้คนดู
ก่อนจะจบ Blog นี้ ขอฝากคำคมดีๆจากหนังเรื่องนี้ไว้แก่ผู้อ่านทุกคนอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ ประโยคที่ว่า “Carpe Diem” อยากให้ทุกคนไตร่ตรองดูดีๆว่าในวันนี้มีสิ่งที่อยากทำ อะไรก็ได้ที่เราคิดว่าเป็นสิ่งดี แล้วยังไม่ทำอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็จงลงมือทำเสีย ในขณะที่ยังมีแรง มีเวลา อย่ามัวแต่ลังเลว่าจะทำดีมั้ย อย่ากลัวผลที่จะตามมา จงลงมือทำเสีย อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป แล้วต้องย้อนกลับมาคิดว่า “ทำไมวันนั้นเราถึงไม่ลงมือทำ”
ขอบคุณทุกคนที่อ่านครับ…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น