วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รัก ลวง ตาย

 

ความรัก ความตาย..

คงไม่แปลกนัก ที่จะเห็นสองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันในภาพยนต์ หรือนวนิยาย ทั้งไทยและเทศ แต่น่าแปลกที่ความตาย กับเพลงไทย กลับเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่เคยมาบรรจบกัน สำหรับเพลงต่างประเทศแล้ว เป็นเรื่องปกติที่เราจะได้ยินเพลงรักที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตาย อย่างเช่นเพลงนี้..

 

เนื้อเพลง

Just give me a second, darling to clear my head.
Just put down those scissors baby, on this single bed.

The sand in the hourglass is running low.
I came through thunder, the cold, wind the rain and the snow.
To find you awake by your windowsill,
A sight for sore eyes with a view to kill...

I broke down in horror at you standing there.
The glow from the moon shone through cracks in your hair.
I shouted with passion "I love you so much!"
But feeling my skin it was cold to the touch.
You whispered "Where are you?", I questioned your doubt
But soon realized you were talking to god now.

You've got blood on your hands, and I know its mine.
I just need more time.
So get off your low and lets dance like we used to.
But there’s a light in the distance, waiting for me.
I will wait for you,  so get off your low and lets kiss like we used to.

I looked in the mirror but something was wrong,
I saw you behind, but my reflection was gone.
There was smoke in the fireplace, as white as the snow
A voice beckoned gently "Now its time to go"
A requiem played as you begged for forgiveness
"Don't touch me!" I screamed, "I've got unfinished business"

You've got blood on your hands, and I know its mine.
I just need more time.
So get off your low and lets dance like we used to.
But there's a light in the distance, waiting for me.
I will wait for you,  so get off your low and lets kiss like we used to.

image

เพลงนี้มีชื่อว่า “Unfinished Business” เป็นเพลงของวงอัลเตอร์เนทีฟจากมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ชื่อว่า “White Lies” วงนี้ค่อนข้างจะชัดเจนในจุดยืนของธีมวง แต่งกายด้วยด้วยชุดสีดำ ทำนองเพลงหม่นๆ และเนื้อหาเพลงหลายเพลงเกี่ยวพันกับความตาย White Lies พึ่งออก Studio Album เพียงอัลบัมเดียวคือ อัลบัมที่มีชื่อเดียวกับซิงเกิ้ลแรก.. “To Lose My Life…” ในปี 2009 ช่วงนั้น White Lies ถือว่าเป็นวงหน้าใหม่ที่น่าจับตามมองที่สุด พวกเค้ากวาดรางวัลต่างๆมากมาย อาทิเช่น

 image                                                      

White Lies is..

Harry McVeigh (lead vocals/guitar)
Charles Cave (bass guitar and backing vocals)
Jack Lawrence-Brown (drums)

กลับมาเข้าเรื่องเพลงกันดีกว่า เพลง Unfinished Business เนื้อหาโดยสรุปคือ ผู้หญิง ผู้ชายคู่หนึ่งเป็นคนรักกัน สมมติว่า ชื่อนายจอห์น กับนางพริม วันหนึ่งด้วยเหตุผลบางประการ เค้าสองคนทะเลาะกัน นางพริมใช้กรรไกรแทงนายจอห์นตาย แต่..นี่ไม่ใช่ตอนจบของเรื่อง เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น… หลังจากนั้น นายจอห์นซึ่งตายไปแล้ว กลายเป็นวิญญาณ ด้วยความแค้นที่มีต่อนางพริม เขาจึงย้อนกลับมาเพื่อจะหลอกหลอนเธอ แต่เมื่อกลับมาเจอหน้านางพริม นายจอห์นพบว่าตัวเขายังรักนางพริมอยู่ เขาจึงพยายามที่จะลืมความจริงที่ว่าเธอเป็นคนฆ่าเขา และอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเธออย่างเดิม..

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับเรื่องราวของ Unfinished Business เนื้อเพลงบวกกับดนตรี คูณกับอารมณ์ของนักร้อง ทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์เพลงได้ไม่ยาก หากใครได้ฟังเพลงนี้แล้วชื่นชอบ สามารถติดตามผลงานของ White Lies ได้ที่ www. myspace. com/ whitelies

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Vampire Weekend Live in Bangkok!!!

 

โอ้..พระเจ้า!!!! นานๆทีจะมีวงต่างประเทศที่เราชื่นชอบมาเล่นถึงที่ ครั้งล่าสุดก็เห็นจะเป็น Green Day Live in Bangkok เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พนันได้เลยว่ามีไม่ถึง

1% ที่เคยได้ยินคำว่า “Vampire Weekend”

0.42% ที่รู้ว่า “Vampire Weekend” เป็นชื่อวงดนตรี

0.03% ที่รู้จัก "Vampire Weekend”

0.001% ที่ชื่นชอบ “Vampire Weekend”

และ  0.00001% ที่รู้ว่า “Vampire Weekend” จะมาเล่นที่กรุงเทพฯในวันที่ 22 ตุลาคมนี้

จากข้อมูลทางสถิติดังกล่าว ถ้ามีคนหนึ่งล้านคนอ่าน blog นี้ แสดงว่ามี 1,000 คนที่ชื่นชอบ แต่มีเพียง 10 คนที่รู้ว่า Vampire Weekend กำลังจะมีคอนเสิร์ตในบ้านเรา ฉะนั้น จขบ จึงคิดเอาเองว่าการเขียน blog ในครั้งนี้จะต้องสร้างประโยชน์มหาศาลแก่มนุษยชาติอย่างแน่นอน!!!

มาเริ่มทำความรู้จักกับ Vampire Weekend กันดีกว่า!!!!

image

Vampire Weekend เป็นวงสี่ชิ้นจากนิวยอร์ก เล่นแนวอินดี้ร็อค “กรุ๊งกริ๊ง” (ลองฟังดูแล้วจะรู้) สมาชิกทั้งสี่ ได้แก่

  • Ezra Koenig – ร้องนำ กีตาร์
  • Rostam Batmanglij – คีย์บอร์ด กีตาร์ ร้องประสาน
  • Chris Tomson – กลอง เพอร์คัสชั่น
  • Chris Baio – เบส ร้องประสาน

เคยออกอัลบัมมาแล้วสองชุด คือ Vampire Weekend (เมื่อปี 2551) และ Contra (เมื่อต้นปีนี้เอง) ซึ่งผลตอบรับในต่างแดนถือว่าดียิ่งนัก

ประสบการณ์ครั้งแรกระหว่าง จขบ กับ Vampire Weekend คงจะเป็นช่วงเวลาที่ได้สดับตรับฟังบทเพลงอันไพเราะของ Vampire Weekend ที่มีชื่อว่า “Oxford Comma” (จากอัลบัม Vampire Weekend) ซึ่งทำให้ จขบ หลงใหลในแนวเพลงกรุ๊งกริ๊งของพวกเขา และติดตามผลงานพวกเขามาตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา

 “Oxford Comma”

“A-Punk” อีกหนึ่งเพลงโปรดของ จขบ จากอัลบัมแรก

ปิดท้ายด้วยซิงเกิ้ลจากอัลบัมล่าสุด “Giving Up The Gun”

 

หากผู้ใดได้รับฟังบทเพลงของ Vampire Weekend แล้วรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แสดงว่าคุณได้ตกหลุมรักวงนี้เข้าให้แล้ว!! ขอเชิญผู้ที่มีใจรัก Vampire Weekend ทุกคนไปร่มอุดมการณ์ความมันกันได้ที่ “Vampire Weekend Live in Bangkok”

ปล. ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiticketmajor.com/concert/vampire-weekend.php

ทำเป็นโยน

 image

Juggling (n.) การโยนลูกบอลอย่างน้อยสามลูกในเวลาเดียวกัน

คำถามประจำวัน: การเล่น Juggling เกี่ยวข้องกับการเรียนอย่างไร?

….

ถ้า จขบ ตอบเองคงตอบอย่างคนที่มีความคิดด้อยพัฒนาว่า “ก็ไม่เห็นมีนิ…?” แต่จริงๆแล้วมันมีความสัมพันธ์กันอยู่  ก็คือ นักเรียนสมัยนี้ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับไอที ใช้เวลาในชั่วโมง และเวลาว่างส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ขาดการออกกำลังกายสายตา ร่างกายตึงเครียด และสมองเหนื่อยล้า การโยน juggling เป็นกิจกรรมที่ช่วยคืนสมดุลให้กับร่างกาย โดยการช่วยให้สมองได้พักผ่อน ฝึกสมาธิ รวมถึงพัฒนาประสาทสัมผัสด้านต่างๆอีกด้วย

ฉะนั้น นี่คงเป็นเหตุผลที่อ.ธงชัย ประกาศให้วันศุกร์ที่ผ่านมาเป็น “วันโยน juggling แห่งชาติ” เนื้อหาในชั่วโมงเรียนมีเพียงชั่วโมงเดียว จากนั้นอาจารย์ก็พานักเรียนออกจากห้องเรียน เพื่อสอนการโยน juggling!

เทคนิคในการฝึกฝน juggling  มีดังต่อไปนี้

ขั้นแรก โยนรับลูกเดียว มือเดียวก่อน เริ่มจากมือข้างที่ถนัดก่อน รับรู้ถึงน้ำหนักของลูก juggling ที่ตกลงบนฝ่ามือเรา

ขั้นที่สอง โยนลูกเดียวจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่ง พยายามไม่ขยับมือข้างที่รับ ฝึกการโยนให้แม่นยำ เพราะหัวใจสำคัญของ juggling อยู่ที่การโยน

image

ขั้นที่สาม โยนสองลูกจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่ง โดยเริ่มจากการโยนลูกแรกจากมือข้างที่ถนัดข้ามไปอีกมือหนึ่ง และในขณะที่บอลลูกแรกอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุด ให้โยนบอลอีกลูกจากมืออีกข้างหนึ่งสวนขึ้นมา

image

ขั้นที่สี่ โยนสามลูก โดยเริ่มต้น มือข้างที่ถนัดถือลูกบอลไว้สองลูก ส่วนอีกข้างหนึ่งถืออีกหนึ่งลูก เริ่มโยนจากมือข้างที่มีสองลูกก่อน ขณะที่ลูกอยู่ตำแหน่งสูงสุด ก็โยนลูกจากมืออีกข้างหนึ่งสวนขึ้นมา ทำแบบนี้สลับไปมาเรื่อยๆ

image

 

ขั้นตอนง่ายๆเพียงเท่านี้ ก็สามารถทำให้เราโยน juggling เก่งได้ เพียงแค่อาศัยการฝึกซ้อม เพราะสิ่งสำคัญในการโยน juggling ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นความพยายาม =]

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Think [ ]

 

ให้ทายว่าหัวข้อของ blog ในวันนี้คือ….

ก. ไก่

ข. เป็ด

ค. แมวน้ำ

และ ง. กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ

 

ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบบบบบ (อ้าว ยังไม่ทันตอบ???)

(sfx: เสียงปรบมือ โห่ร้อง)

วันนี้ท่านจะได้รับชม รับฟังเรื่องกลยุทธ์การคิดนอกกรอบ……. (สอนโดย อ.ธงชัย เรียบเรียงโดย จขบ ให้เสียงภาษาไทย โดย พธม)

ก่อนอื่นเลย สิ่งที่เป็นอุปสรรคสูงสุดของการคิดนอกกรอบ ก็คือ “กรอบ” นั่นเอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านจะต้องทำเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ คือ ละทิ้ง “กรอบ” เหล่านั้นซะ! แล้วคำถามต่อมา คือ เอ๊ะ..แล้วอะไรคือ “กรอบ” บ้างล่ะ ง่ายๆเลยครับ ที่เห็นชัดที่สุดตอนนี้ คือ ถ้าคุณอ่านข้อความสามบรรทัดที่แล้ว แล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมอีคำว่า “กรอบ” มันใช้สีคนละสีกัน(วะ)? นั่นแสดงว่าท่านผู้นั้นติดอยู่ใน “กรอบ” ครับ…. มีใครกำหนดมั้ยครับว่าคำคำเดียวกัน ต้องใช้สีเดียวกัน.. คำตอบคือ ไม่! คุณคิดไปเองทั้งนั้น มันเกิดขึ้นจากความเคยชิน

ความเคยชิน สิ่งที่ปฏิบัติตามๆกันมา หรือแม้กระทั่งความรู้ คอยตี “กรอบ” จำนวนมากให้เรา โดยที่เราไม่รู้ตัว คอยบอกเราว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจกับการก่อกำเนิดความคิดสร้างสรรค์ ขอยกตัวอย่างความเคยชินที่หลายคนคาดไม่ถึง..

image

คีย์บอร์ด QWERTY ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ออกแบบมาเพื่อทำให้เราพิมพ์ช้าลง…?????? คาดไม่ถึงสินะครับ สำหรับเหตุผล คงต้องย้อนไปในยุคที่แป้นพิมพ์ดีดรุ่งเรือง ถ้าคนเราพิมพ์ดีดเร็วเกินไป ก้านพิมพ์จะเกิดการ jam ฉะนั้น คนออกแบบเครื่องพิมพ์ดีด จึงต้องจัดตำแหน่งตัวอักษรเพื่อให้เราพิมพ์ช้าลง เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงยุคคอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ดก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยเอาแบบมาจากแป้นพิมพ์ดีด เพราะว่าคนคุ้นเคยกับการพิมพ์แบบนั้น จึงเกิดเป็นคีย์บอรฺ์ด QWERTY ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะมีคนพยายามปรับปรุงคีย์บอร์ดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพิมพ์ แต่กลับไม่เป็นที่นิยม เพราะคนทั่วไป “เคย ชิน” กับการใช้คีย์บอร์ดที่ช่วยลดความเร็วในการพิมพ์ของเราซะแล้ว

หมายเหตุ: คีย์บอร์ดที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เราพิมพ์ได้รวดเร็วขึ้น ได้แก่ คีย์บอร์ด DVORAK: http://www.dvorak-keyboard.com/

image

ดังนั้น ถ้าต้องการคิดนอกกรอบ ขั้นแรกจึงควรละทิ้ง “กรอบ” หรือเรียกอีกอย่างนึงว่า “การละทิ้งสมมติฐาน (Drop an Assumption)”  สามารถทำได้โดยวิธีการง่ายๆ ได้แก่ ดูว่ากรอบมีอะไรบ้าง และมีข้อไหนบ้างที่เราสามารถละเลยได้ ขอยกตัวอย่างง่ายๆดังนี้

image

 ปัญหา: จะลากเส้นตรงอย่างน้อยสี่เส้นอย่างไร ให้ผ่านจุดครบทั้งเก้าจุด โดยไม่ยกปากกา?

หลายคนอาจจะเคยเห็น และรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่บอกไว้เลยนะครับว่าคำตอบของปัญหานี้มีอย่างน้อยห้าคำตอบ ให้เวลาทุกท่านคิดซักแปปนึงละกันนะครับ อย่าลืมว่า กฎเหล็กของเราคือ “จงละทิ้งกรอบทั้งหมดที่สามารถทิ้งได้”..

 

 

 

 

 

 

 

 

อย่าพึ่งรีบดูคำตอบนะครับ ลองคิดดูก่อน..

imageวิธีที่ 1 วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่สุด ส่วนมากตามหนังสือ หรือเว็ปไซต์ทั่วไปจะเฉลยด้วยวิธีนี้ เป็นละทิ้งกรอบที่เล็กที่สุด นั่นคือ คนส่วนมากมักตีกรอบให้ตัวเองว่า เส้นที่เราลากจะต้องอยู่ภายในกรอบของจุดทั้งเก้าจุด ซึ่งไม่จำเป็นเลย! ถ้าเราสามารถทิ้งกรอบนี้ได้ เราก็จะสามารถค้นพบคำตอบนี้ได้ไม่ยากนัก

 

วิธีที่ 2 เกิดจากการละทิ้งกรอบที่ว่า เราจำเป็นต้องลากผ่านกึ่งกลางของจุด ซึ่งก็ไม่จำเป็นอีกเช่นกัน! ดังนั้น วิธีนี้ก็สามารถเป็นไปได้เช่นกัน  

image

 

image วิธีที่ 3 ปากกาที่ใช้จำเป็นต้องมีขนาดปกติ? ไม่จำเป็นเลยครับ! สิ่งเหล่านี้แหละเป็นกรอบที่เราสร้างขึ้นมาเอง ถ้าเราใช้ปากกาที่หัวใหญ่มากๆ แค่เพียงเส้นเดียวก็สามารถลากทับจุดได้ครบทั้ง 9 จุดแล้ว

 

วิธีที่ 4 แค่เพียงเราขยายมุมมองออกไปอีก เราจะพบว่ามีกรอบอีกมากมายที่ขวางกั้นความคิดเราอยู่ ลองคิดดูดีๆว่ามีใครบอกคุณมั้ยว่า ห้ามพับกระดาษ ไม่มีครับ ไม่มีกติกาที่บอกว่า ห้ามพับกระดาษ มีคนเสนอวิธีพับกระดาษที่ทำให้เราสามารถลากผ่านจุดทั้งเก้าโดยใช้เพียงเส้นเดียว!

image

วิธีที่ 5 ท้าทายความเป็นไปได้ อย่าให้ความรู้สึกตีกรอบว่าอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ อย่างเช่นวิธีนี้ เราไม่จำเป็นต้องลากอยู่บนกระดาษเท่านั้น วิธีที่สามารถทำได้ ได้แก่

 

image

image  

 

 

 

 

 

 

วิธีที่ >5

ถึงตาของคุณแล้วล่ะครับ ลองคิดหาวิธีใหม่ๆที่ไม่ซ้ำกับวิธีที่ผ่านมา หวังว่าตัวอย่างที่ผ่านๆมาจะทำให้คุณเข้าใจถึง หลักการละทิ้งสมมติฐาน มากขึ้น อย่าลืมว่า กฎคือ จงท้าทายทุกกฎเท่าที่จะทำได้!

(ยังไม่จบ ติดตามชมตอนต่อไป…)

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Why Does It Always Rain on Me?

 

หลายวันที่ผ่านมานี้ นอกจาก จขบ จะต้องผจญกับวิกฤตการณ์การสอบกลางภาคอันหนักหน่วงแล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง คือ มหันตภัยความแปรปรวนของอากาศ เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงนี้ กทม มีฝนฟ้าคะนองกระจายกว่าร้อยละ 40-60 ของพื้นที่.. แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะช่วงนี้เป็นหน้าฝน ที่แปลกคือ ทำไมคุณฝนต้องตกตอนที่กระผมอยู่ระหว่างกระบวนการพลิกบ้าน (กลับบ้าน) ด้วย!! จขบ สังเกตุมาหลายวันแล้วจึงตั้งข้อสรุปว่านี่มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันจงใจกลั่นแกล้งกันชัดๆ!!!!! พอตั้งท่าจะกลับบ้านทีไร ฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม แล้วก็ตู้มมมมม…ซู่ๆๆๆๆๆ……. (เปียก) ไม่ว่าจะกี่โมงก็ตาม สองโมง สามโมง สี่โมง ห้าโมงมันก็ไม่เว้น ประเด็นคือมันเริ่มตกตอนกลับบ้านทุกที…..บ่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…………

---------------------------------------จบเซสชั่นบ่น----------------------------------------------

เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ จขบ นึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า “Why Does It Always Rain on Me?”  เป็นซิงเกิ้ลของวงบริทป๊อปจากสก็อตแลนด์นามว่า “Travis” แต่งโดยฟร้อนท์แมนของวงคือลุงฟราน ฮีลลี่ (Fran Healy) ลองฟังเพลงนี้กันดูก่อนนะครับ..

 

 

แรงบันดาลในการแต่งเพลงนี้ ลุงฟรานได้มาจากชีวิตประจำวันในสก็อตแลนด์ ซึ่งหลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าขึ้นชื่อเรื่องอากาศชื้น แต่ทำนองของเพลงกลับชวนให้คิดถึงแสงแดดอันอบอุ่นมากกว่า (ฮา)

เนื้อเพลงเพลงนี้ เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งซึ่งตกอยู่ในวังวนความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับถูกฟ้าฝนกระหน่ำลงมาใส่ หลายประโยคในเพลง เช่น “Even when the sun is shining,I can’t avoid the lightning.” หรือ “I can’t stand myself..” ตอกย้ำว่า สิ่งที่เค้าเป็นอยู่ไม่ใช่แค่หงุดหงิด หรือไม่พอใจ แต่มันคือความสิ้นหวังจากอะไรบางอย่าง และเค้ากำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าจะยอมล้มเลิกดีมั้ย…

ทำนองเพลงช่างห่างไกลกับเนื้อเพลงยิ่งนัก (ฮา ฮา ฮา)..

ก่อนจากกันวันนี้ จขบ ก็อยากจะฝากกำลังใจไว้ให้กับทุกๆคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ให้มีกำลังสู้ต่อไป อย่าพึ่งสิ้นหวังนะครับ ฝนตกไม่หยุดไม่มีหรอก มีแต่หยุดช้า กับหยุดเร็ว(ฮา) วันข้างหน้าท้องฟ้าสีฟ้าสดใสรอคุณอยู่ =D

 

ปล. ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ระวังรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ด้วยความปรารถนาดีจาก JKB (จขบ)