วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เขียน Blog ง่ายกว่าด้วย Windows Live Writer

 

ในครั้งก่อนๆ จขบ ได้พูดเกี่ยวกับการเขียน blog ง่ายๆโดยใช้ MS Word ไปแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่ามันง่ายจริงๆ เนื่องจากมันมีปัญหาในการ upload รูปภาพ ซึ่ง Word จะไม่สามารถ upload รูปภาพลง blog ให้เราได้ นอกเสียจากว่าเรามี Web Host ซึ่งมีบริการ FTP ให้เรา วันนี้จึงมาพูดถึงโปรแกรมฟรีแวร์ตัวนึงที่มีชื่อว่า Windows Live Writer ซึ่งเป็นโปรแกรมช่วยอำนวยความสะดวกได้การเขียน blog นอกจากจะมี interface ที่ใช้งานง่าย รูปแบบคล้ายกับ MS Word ที่หลายๆคนคุ้นเคยแล้ว ยังสามารถใช้งานบน Web Blog อื่นๆได้ ไม่ใช่เฉพาะ Windows Live Spaces

GETTING START…

ก่อนอื่น สำหรับคนที่ยังไม่มีโปรแกรม Windows Live Writer สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ลิ้งค์ด้านล่าง

Writer

Download

เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรมเสร็จแล้ว โปรแกรมจะถามเราว่าใช้ Web Blog อะไรอยู่? สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ของ Windows Live Spaces อย่างเช่น จขบ ที่ใช้ Blogger ก็เลือกติ๊ก Other blog service ไป

image

ต่อมาให้กรอกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับ account ของเรา ดังนี้

image

จากนั้นจะเป็นการตั้ง Nickname ให้กับ blog ของเรา เป็นชื่ออะไรก็ได้ที่ใช้เรียกแทน blog ของเรา ของ จขบ ใช้เป็นชื่อเดียวกับ blog ไปเลย

image

เพียงขั้นตอนง่ายๆเท่านี้เราก็สามารถเริ่มใช้โปรแกรมนี้เขียน blog ได้ โดยข้อดีอย่างนึงของโปรแกรมนี้คือ มันจะทำการโหลดธีมของ blog เรามาแสดงผลบนตัวโปรแกรม ทำให้เราสามารถเห็น preview ของ blog ที่เราเขียนได้ในแบบ real-time

image

สำหรับจุดเด่นอื่นๆ จากการใช้งานจริงของ จขบ ได้แก่

  • สามารถใช้งานได้มากกว่า 1 account เช่น สมมติว่าเราใช้เครื่องร่วมกับเพื่อนเราโดยที่เรากับเพื่อนเขียน blog คนละ blog กัน เราสามารถทำการเพิ่ม account ได้ ไม่จำกัดเรากับเพื่อนจะต้องใช้ Web Blog เดียวกัน
  • ใช้งานง่าย แม้ว่าเครื่องมือ หรือฟีเจอร์ต่างๆจะเทียบ MS Word ไม่ได้ แต่ยังพอมีลูกเล่นต่างๆอยู่บ้าง เช่น เครื่องมือตกแต่งเกี่ยวกับรูปภาพ สามารถกำหนดขอบรูปภาพแบบต่างๆได้ ได้แก่ ใส่เงา ใส่ภาพสะท้อน ใส่กรอบรูปแบบโปสการ์ด เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใส่ effect ต่างๆให้รูปภาพได้อีกด้วย
  • โพสลง blog ได้ในทันที อันนี้เป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้สำหรับโปรแกรมประเภทนี้ แต่จุดเด่นของโปรแกรมนี้คือสามารถ upload พวกรูปภาพไปยัง blog ของเราได้ด้วย ซึ่งทำให้การใช้การสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก

คร่าวๆก็มีเท่านี้ครับ อยากให้เพื่อนๆพี่น้องๆที่เขียน blog อยู่ ดาวน์โหลดไปลองใช้ดู ท่านจะเห็นว่ามันใช้งานง่ายจริงๆ เราสามารถจัดการเกี่ยวกับ blog post ของเราทุกอย่างภายในโปรแกรมนี้เพียงโปรแกรมเดียว สำหรับใครก็ตามที่ลองใช้ดูแล้ว อยากจะร่วมแบ่งปันเทคนิควิธีใช้ หรือแม้กระทั่งปัญหาต่างๆได้ที่นี่นะครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตามครับ

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

You See Things and Ask Why?

 

วันนี้ จขบ จะมาแบ่งปันเกร็ดความรู้ดีๆที่ได้จากชั้นเรียน Innovative Thinking หลังจากที่ไม่ได้เรียนมาสองครั้งติด เนื่องจากอาจารย์ติดธุระ และติดวันรับปริญญา สำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ จขบ เห็นว่าน่าสนใจมากๆ อยากให้ทุกคนได้อ่าน และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

หัวข้อที่เรียนวันนี้ ได้แก่ กลยุทธ์การตั้งคำถาม และกลยุทธ์การคิดนอกกรอบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการก่อกำเนิดความคิดสร้างสรรค์ ขอเริ่มจากกลยุทธ์ในการตั้งคำถามก่อน การตั้งคำถามเป็นกระบวนการที่ช่วยกระตุ้นความคิดของเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการถามว่า “ทำไม” ดังคำคมของ Tom Hirshfield ที่ว่า

“If you don't ask why this often enough, somebody will ask why you.”

หรือแปลง่ายๆว่า การที่คุณไม่ถามว่า’ทำไม’บ่อยๆ จะไม่ทำให้เกิดการพัฒนาตัวเอง จนกระทั่งวันนึงจะมีคนถามว่า”ทำไมต้องเป็นคุณ?”

เทคนิคง่ายๆในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดหรือไอเดียใหม่ๆ คือ ให้ลงท้ายคำถามว่า “โดยวิธีได้บ้าง?” เช่น แทนที่จะถามว่า “วันนี้คุณเดินทางมามหาวิทยาลัยจุฬาฯด้วยวิธีใด?” ให้เปลี่ยนเปนถามว่า “เราสามารถเดินทางไปจุฬาได้ด้วยวิธีใดบ้าง?” เห็นมั้ยครับว่า การถามแบบแรกนั้นจะได้เพียงคำตอบเดียว แต่ถ้าลงท้ายด้วย “โดยวิธีใดบ้าง?” จะเป็นการกระตุ้นความคิดเราให้คิดหาความตอบจำนวนมากออกมา เป็นวิธีง่ายที่จะช่วยเราสร้างไอเดียใหม่

เทคนิคต่อมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า “Why-Why Diagram” ซึ่งมีรูปแบบดังนี้

image 

หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ มาดูตัวอย่างการใช้กันดีกว่า จะได้เข้าใจมากขึ้น สมมติเราอยากรู้ว่า เอ๊ะ…ทำไมเทอมนี้เกรดเราตกนะ? เราสามารถใช้ Why-Why Diagram ช่วยค้นหาสาเหตุได้ ดังนี้

 image

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆเท่านั้น จริงๆแล้ว เราสามารถวิเคราะห์ต่อไปอีกได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสามระดับ เหมือนในตัวอย่างทุกครั้ง สรุปคือ Why-Why Diagram เป็นเทคนิคที่ช่วยในการหาต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา

มาถึงอันต่อมาเป็นเทคนิคง่ายๆที่เรียกกันว่า การถามตรงกันข้าม อย่าพึ่งแปลกใจ มันง่ายและใช้ประโยชน์ได้จริง ใช้ในกรณีที่ถามตรงๆแล้วคิดคำตอบไม่ออก เช่น เราจะทำอย่างไรให้เกรดดีขึ้น? -- ตอบยากถูกมั้ยครับ (ฮา) แต่ถ้าลองถามตรงกันข้ามดู คือถามว่า เราจะทำอย่างให้เกรดแย่ลง? -- งานนี้พนันได้เลย แต่ละคนสามารถสรรหาคำตอบแปลกๆมาประชันกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อได้คำตอบเหล่านั้นแล้วเราก็แค่กลับคำตอบนั้นอีกที อย่างเช่น คำตอบของคำถามที่แล้ว ได้แก่ หลับในห้องเรียน โดดเรียน ลอกการบ้าน คำตอบที่เราต้องการก็จะเป็น ไม่หลับในชั้นเรียน เข้าเรียนสม่ำเสมอ ทำการบ้านด้วยตัวเอง เป็นต้น

 

เทคนิคสุดท้ายแล้วครับ… คือ Ask “What if?” หรือ ถามว่า “อะไรจะเกิดขึ้น ถ้า…” เป็นเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นจินตนาการ ภาพยนต์ หรือนวนิยายหลายเรื่องก็ใช้เทคนิคนี้ เช่น imageเรื่องอิคิงามิ (IKIGAMI) เป็นภาพยนต์ที่สร้างจากการ์ตูน “อิคิงามิ สาส์น สั่ง ตาย” พล็อตของเรื่องนี้คือ ในยุคที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายที่บังคับให้ประชาชนทุกคนถูกฉีดวัคซีนที่มีสารพิษในอัตราส่วน 1:1000 สารพิษนี้จะออกฤทธิ์เมื่อมีอายุในช่วง 18-24 ปี โดยจะแจ้งให้ทราบ 24 ชั่วโมงก่อนครบกำหนด ใบแจ้งมรณะนี้ เรียกกันว่า “อิคิงามิ” ซึ่งพล็อตของเรื่องนี้เกิดจากคำถามง่ายๆที่ว่า “อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ารู้ว่าอีก 24 ชั่วโมงจะต้องตาย”  นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย เช่น “Death Note” -- อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราสามารถควบคุมความตายของผู้อื่นได้ “Sunshine” -- อะไรจะเกิดขึ้นถ้าดวงอาทิตย์กำลังจะดับ หรือแม้กระทั่ง หนังเข้าใหม่อย่าง “Inception” -- อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคนเราสามารถฝันร่วมกันได้ เช่นนี้เป็นต้น จะเห็นได้ว่า Ask “What if?” เป็นเทคนิคที่สำคัญมาก ในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

จบไปแล้วนะครับ สำหรับกลยุทธิ์การตั้งคำถาม ครั้งหน้าจะเป็นเรื่อง กลยุทธ์การคิดนอกกรอบ ติดตามอ่านกันได้นะครับ  To Be Continue,,,,,

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำเป็นเขียน blog

 

คำเตือน: เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอันมีค่าของท่านโปรดข้ามการอ่าน entry นี้ไป เนื่องจากข้อมูลที่ท่านจะได้รับต่อไปนี้ หาสาระประโยชน์อันใดไม่ได้ เกิดจากความคิดอันไร้สติของ จขบ ทั้งสิ้นทั้งปวง 

โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาแต่ใจตัวเป็นที่สุด แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าทุกคนทำอะไรตามใจตัวเอง ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ จึงต้องมีการบัญญัติกฎระเบียบของสังคมขึ้นเพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แต่แน่นอน คนที่ไม่มีความสุขภายใต้กฎระเบียบเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างทางสังคมมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ยิ่งปัจจัยหลายๆอย่างที่คอยผลักดันให้มนุษย์ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ เช่น หลายคนไม่อยากหมอ แต่พ่อแม่บังคบให้เรียน หลายคนไม่อยากทำงานที่ทำอยู่ แต่ไม่มีทางเลือกก็ต้องทำ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอาการที่ จขบ ขอเรียกว่า “ทำเป็น + (กริยา)” หมายถึง แสร้งเหมือนว่าเราทำ เราเป็นสิ่งเหล่านี้ แต่จริงๆแล้วไม่ได้ทำ ไม่ได้เป็น อาจจะด้วยเหตุผลที่โดนบังคับให้ทำ บังคับให้เป็น หรือ เหตุผลเฉพาะอื่นๆ ตัวอย่างของการ”ทำเป็น” ที่พบในชีวิตประจำวัน ก็เช่น

ทำเป็นมีความสุข กรณีศึกษา: จริงๆแล้วในใจเรามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ แต่ก็ปิดไว้ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นรู้ เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่บอกใครไม่ได้หรือไม่อยากให้คนอื่นเห็นเราในมุมอ่อนแอ

ทำเป็นเรียน กรณีศึกษา: เข้าไปในห้องเรียน คุยกับเพื่อน นอน เล่นบีบี ไม่ได้เรียน ไม่ได้ความรู้ แต่เข้าไปเพราะว่ามันต้องเข้า

ทำเป็นรู้เรื่อง กรณีศึกษา: ในวงเม้าท์กับกลุ่มเพื่อน บางเรื่องเราไม่รู้แต่ก็ก็ต้องทำเป็นรู้เรื่อง จะได้ไม่เสียหน้า หรือโดนหาว่าตกข่าว

ถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายคนน่าจะเข้าใจถึงความหมายของการ”ทำเป็น” แล้ว และบางคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ!? เราจะทำเป็นไปทำไม ในเมื่อมันขัดกับความรู้สึก ทำไปก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ ดีไม่ดีตัวเองอาจจะรู้สึกแย่กว่าใครด้วยซ้ำ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีคุณค่าเลย ตรงกันข้ามในบางกรณี กระบวนการนี้อาจเป็นตัวขับเคลื่อนการดำเนินไปของกลไกทางสังคมอีกด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด ก็เช่น ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่อยากเรียน และไม่ทำเป็นเรียน ชั้นเรียนก็จะล่ม ฉะนั้น เราควรจะเลือกทำเป็นให้เหมาะสม บางอย่างถ้ามันฝืนความรู้สึกเราจนเกินพอดี หรือถ้าไม่ทำก็ไม่ส่งผลเสียกับใคร ก็อย่าไปทำเป็น แต่ถ้าอันไหนมันเป็นหน้าที่เราต้องทำ แม้ว่าเราไม่อยากทำขนาดไหน อย่างน้อยก็ทำเป็นทำไป เพื่อประโยชน์ของของทุกฝ่าย =D

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จำเก่ง

 

ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้าครอบงำคนส่วนใหญ่ในสังคมเมือง อุปกรณ์เสริมสร้างความสะดวกสบายเป็นสิ่่งที่ผู้คนขาดไม่ได้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ใครล่ะจะไม่ชอบความง่าย ความสบาย แต่จากสัจธรรมของโลกใบนี้ อะไรก็ตามที่มากเกินไปย่อมมีข้อเสีย ไม่เว้นแม้แต่สิ่งอำนวยความสะดวก การที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เราใช้สมองในการคิด การ”จำ” น้อยลง ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดเลย สุ่มวัยรุ่นมา 100 คนให้บอกเบอร์โทรศัพท์เพื่อนห้าคน คงมีไม่ถึง 5 คนที่จำได้ ส่วนมากจะบอกว่า “ก็เม็มอยู่ในมือถือ จะจำไปทำไม? “ ครับ คนส่วนใหญ่อาจจะมองข้ามในจุดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ แต่จริงๆแล้วการ”จำเก่ง”มีผลดีต่อชีวิตเราอย่างยิ่ง ความรู้ ความเข้าใจจะเกิดได้ต้องอาศัยความจำ และนอกจากนี้การจำเก่งยังช่วยให้ชีวิตเรา”ง่าย”ขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีใดๆ

 

image

กลุ่มบุคคลที่เล็งเห็นความสำคัญของการจำเก่ง อันได้แก่อาจารย์ธงชัย และคณะ ได้จัดงานที่มีชื่อว่า “Thailand Open Memory Championships” ขึ้น เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่าน ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่สาม ซึ่งจุดประสงค์คือเฟ้นหาผู้ที่มีความจำดีเยี่ยม โดยการแข่งจะแบ่งเป็นของเด็ก กับของผู้ใหญ่ การแข่งรอบเด็กมีจำวนมากถึงร้อยคน แม้ว่าเด็กบางคนยังงๆส่าตัวเองมาทำอะไร แต่ก็ยังดีที่โรงเรียนหรือผู้ปกครองสนับสนุนให้น้องๆเข้าแข่งในครั้งนี้ รูปแบบการแข่งขันโดยรวมๆแล้วจะคล้ายๆกันคือ ให้เวลาช่วงหนึ่งในการจำ ไม่ว่าจะเป็น จำชุดตัวเลข จำชื่อคน จำปีค.ศ. จำปา (ไม่ใช่!!!!) หรือแม้กระทั่งจำไพ่ หลังจากนั้นจะให้เวลาอีกครู่หนึ่งเพื่อเติมคำตอบ

 

DSC00028 DSC00029

จขบ เข้าร่วมงานนี้เพื่อป้องกันแชมป์ ในฐานะแชมป์ปีที่แล้ว…(โกหกทั้งเพ!!!) จริงๆแล้ว จขบ เข้าร่วมในฐานะกรรมกร เอ๊ย!!! กรรมการตรวจข้อสอบ อาจจะฟังเหมือนเป็นงานยาก แต่หน้าที่จริงๆนั้นง่ายมาก แค่นั่งกินแซนด์วิชฟรีที่มีเป็นลัง เล่นไพ่… รอจนกว่าข้อสอบจะมา เมื่อมีข้อสอบเข้ามา ก็สละเวลาอันมีค่ามาตรวจ (ด้วยความรวดเร็ว) เสร็จแล้วก็กลับไปทำกิจกรรมอันสร้างสรรค์ต่อ ผู้อ่านหลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วคุณท่านจะไปทำพระแสงของ้าวอะไรครับ? คำตอบคือ ไปช่วยงานอาจารย์สิครับ คนดีระดับ จขบ ไม่พลาดงานช่วยเหลือคนแบบนี้หรอกครับ =D ที่สำคัญ งานนี้นอกจากจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆแล้ว ยังได้รู้จักเพื่อนในชั้นเรียน Innovative Thinking คนอื่นๆมากขึ้นด้วย สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวงานแข่งความจำสามารถติดตามได้ที่ http://www.jumkeng.in.th/

ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจ blog เล็กๆแห่งนี้

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Carpe Diem!!!

 

ชั้นเรียน Innovative Thinking วันนี้ ปราศจากการเรียนการสอน เนื่องจากอาจารย์อู้.. เอ๊ย..ล้อเล่นครับ อาจารย์ติดธุระต้องไปสอน juggling โชว์ที่แยกราชประสงค์ วันนี้อาจารย์ให้พวกเราดูหนัง ใช่แล้วครับ ดูหนัง แต่ไม่ใช่นั่งดูชิวๆเหมือนอยู่บ้าน หรือ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เพราะว่าก่อนดูหนังอาจารย์ผู้ใจดีก็แจกคำถามให้ตอบหลังดูเสร็จ แค่อ่านคำถามข้อแรกก็ปวดตับแล้วครับ คำถามที่พอจำได้ ก็เช่น “ฉากไหนที่ประทับใจที่สุด?” “ฉากไหนที่ตรงกับหลักการความคิดสร้างสรรค์ที่เรียนในชั้นเรียน?” และ “ถ้าเปลี่ยนตอนจบได้ อยากให้เป็นแบบไหน?” โดยปกติแล้ว จขบ เป็นคนที่ดูหนังแล้วไม่ได้คิดตาม ดูเอามัน เอาอารมณ์อย่างเดียว จึงไม่ชอบพวกคำถามหลังดูแบบนี้ มันทำให้ความสนุกของหนังลดลง 10% แต่อย่างไรก็ตาม เมื่ออาจารย์สั่งงานเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำ ก่อนอื่นจะขอพูดคร่าวๆเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก่อน เพราะเป็นหนังสนุก และให้ข้อคิดดีๆเยอะ

image 

พล่ามซะยาว ลืมบอกชื่อหนังกันเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า “Dead Poets Society” หรือแปลตรงตัวตามซับไตเติ้ลว่า “ชมรมกวีไร้ชีพ” หลายคนฟังชื่อหนังแล้วคงบอกผ่าน เพราะชื่อหนังฟังดูน่าจะเป็นหนังน่าเบื่อสิ้นคิด แต่เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งตัดสินอะไรๆจากรูปลักษณ์ภายนอก เรื่องนี้เป็นถึงหนังรางวัล Oscar มีอะไรดีๆแฝงอยู่เยอะครับ

 image

เรื่องนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนเตรียมแห่งหนึ่งของอเมริกาชื่อ Welton โรงเรียนนี้ยึดมั่นในจารีตประเพณี เข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย ยึดติดกับวิธีการสอนแบบเก่าๆ จนกระทั่ง ครูเใหม่ที่ชื่อว่า จอห์น คีตติ้ง เข้ามา ครูคนนี้มีแนวคิดที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เต้าเน้นการสอนมห้นักเรียนคิดเองเป็น แตกต่างจากการสอนในสมัยนั้น ที่สอนให้นักเรียนท่องจำตามตำราเป๊ะๆ ทำให้เค้าถูกครูหัวโบราณหลายคนเขม่นเอา เนื่องจากไม่เชื่อว่านักเรียนในวัยนี้จะคิดเองได้ ประกอบกับวิธีการสอนในชั้นเรียนของครูคีตติ้งค่อนข้างจะล้ำสมัยไปหน่อย อย่างเช่น ฉีกบทนำว่าด้วยการตีค่าความงามของบทกวีทิ้ง เพราะเรื่องแบบนี้ต้องคิดเองได้ หรือให้นักเรียนยืนบนโต๊ะ เพื่อจะได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ เป็นต้น image

มีนักเรียนกลุ่มนึงที่ชื่นชอบในการสอนของครูคีตติ้ง รวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มที่ชื่อว่า “ชมรมกวีไร้ชีพ” หรือ “Dead Poets Society” เหมือนกับที่ครูคีตติ้งเคยทำเมื่อครั้งที่เคยเรียนอยู่ที่นี่ โดยนัดชุนนุมกับยามวิกาล ณ ถ้ำหลังโรงเรียน ผลัดกันอ่านบทกวี

image

เรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปพร้อมกับพัฒนาการของนักเรียนใน “ชมรมกวีไร้ชีพ” เราจะเห็นได้ถึงการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของตัวละครผ่านการผลักดันของครูคีตติ้ง อย่างเช่น ท็อดด์ แอนเดอร์สัน เป็นคนเก่งแต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก ภายหลังครูคีตติ้งใช้เทคนิคปลุกความกล้าในตัวเขาออกมา

หรือแม้กระทั่งตัวละครอีกตัวที่มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้อย่าง นีล เพอร์รี่ ที่ตัดสินใจเลือกแสดงละครตามความฝันของตน แม้จะต้องฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาเลือกในตอนจบอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก (บอกไม่ได้ว่าคืออะไร ไม่งั้นจะสปอยล์หนัง) แต่ถึงอย่างไร เขาก็ได้ทำตามความฝันของเขา  ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูก ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในคำสอนของครูคีตติ้ง ซึ่งตัว จขบ ชอบที่สุด

“Carpe Diem คาร์-เป-เดียม”

เป็นภาษาละติน แปลว่า “Seize the Day” หรือ “จงฉกฉวยวันเวลา” แปลเป็นภาษาพูดง่ายๆว่า ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไป แล้วมานั่งเสียใจในภายหลัง

image

นอกจากนี้แล้ว ตอนจบของหนังเรื่องนี้ยังซาบซึ้งและกินใจเป็นที่สุด อยากให้ผู้อ่านทุกคนได้ดูเรื่องนี้เช่นกัน ตอนที่ จขบ ดูเรื่องนี้จบ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกเรื่องนี้มาให้ดู นอกจากเนื้อหาของหนังจะเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์โดยตรง แล้วยังมีแนวคิดในการดำเนินชีวิตอีกมากมายที่หนังเรื่องนี้พยายามถ่ายทอดมาให้คนดู

ก่อนจะจบ Blog นี้ ขอฝากคำคมดีๆจากหนังเรื่องนี้ไว้แก่ผู้อ่านทุกคนอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ ประโยคที่ว่า “Carpe Diem” อยากให้ทุกคนไตร่ตรองดูดีๆว่าในวันนี้มีสิ่งที่อยากทำ อะไรก็ได้ที่เราคิดว่าเป็นสิ่งดี แล้วยังไม่ทำอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็จงลงมือทำเสีย ในขณะที่ยังมีแรง มีเวลา อย่ามัวแต่ลังเลว่าจะทำดีมั้ย อย่ากลัวผลที่จะตามมา จงลงมือทำเสีย อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป แล้วต้องย้อนกลับมาคิดว่า “ทำไมวันนั้นเราถึงไม่ลงมือทำ”

ขอบคุณทุกคนที่อ่านครับ…

เขียน Blog ง่ายๆ ด้วย Microsoft Word

 

วันนี้ จขบ จะมาพูดถึงวิธีเขียน blog โดยใช้ Microsoft Word ซึ่งเป็นวิธีที่ จขบ ใช้อยู่ และคิดว่าสะดวกรวดเร็วมากสำหรับมือใหม่หัดเขียน blog

ก่อนอื่นเลย สิ่งที่คุณต้องมีคือ

หนึ่ง. Microsoft Word 2007 ขึ้นไป (จขบ ใช้ Word 2010 (beta version))

สอง. Blog Account ได้จากการสมัครสมาชิกเว็ปที่ให้บริการ free blog มีทั้งของไทยและเทศ ของไทยก็เช่น Oknation หรือ Bloggang หรือถ้าอยากได้ของฝรั่งก็เป็นพวก WordPress หรือที่ จขบ ใช้อยู่ คือ Blogger

สาม. อารมณ์ที่จะเขียน Blog =D

เมื่อมีครบสามอย่างแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ เปิดโปรแกรม Word แล้วสร้างเอกสารใหม่ในรูปแบบ Blog Post

image

จากนั้นก็ลงมือเขียน Blog ตกแต่ง Blog เมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว คลิกที่ไอคอน Publish   image

จะมีหน้าต่างด้านล่างนี้ขึ้นมา ให้เลือก Register an Account

image

เลือกเว็ปที่เรามี Blog Account อยู่จากลิสต์ ถ้าไม่มีเว็ปที่ต้องการอยู่ในลิสต์ ในเลือก other

image

จากนั้น กรอกข้อมูล Blog Account ของเรา ทั้ง User Name และ Password

image

เมื่อตั้งค่าต่างๆเกี่ยวกับ Blog Account ของเราเรียบร้อย ให้คลิก Publish อีกครั้งหนึ่ง Blog ที่เราเขียนใน Word จะไปปรากฏอยู่บนหน้าเว็ป Blog ของเราทันที!

image

เห็นมั้ยครับ.. สะดวกสบายมาก วิธีนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้งาน Microsoft Word และไม่ถนัดที่จะเขียน Blog ผ่านเว็ป แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ยังแก้ไม่ได้ของการเขียน Blog ผ่าน Word คือ ถ้า Blog ของเรามีรูปภาพ เราจะไม่สามารถอัพโหลดรูปภาพโดยตรงจาก Word ได้ ต้องเข้าไปแก้ไขผ่าน Blog Account ของเรา ซึ่งไม่ค่อยจะสะดวกนัก เหมือนเราต้องทำงานแยกกัน ในส่วนของข้อความ กับส่วนของภาพ แต่อย่างไรก็ตาม มีฟรีโปรแกรมตัวหนึ่งที่ขจัดปัญหาดังกล่าวได้ คือ Windows Live Writer ซึ่ง จขบ จะกล่าวถึงอย่างละเอียดอีกทีในคราวต่อๆไป

หวังว่าเรื่องราวในคราวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย ขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่าน (^__,^)

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

COMMART X’GEN 2010




เกริ่น 1 นอกจาก blog นี้จะเขียนเกี่ยวกับชั้นเรียนวิชา Innovative Thinking แล้ว ยังบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ จขบ อยากเขียนอีกด้วย

เกริ่น 2 Commart เป็นงานแสดงสินค้าไอทีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ จัดขึ้นปีละสามครั้ง ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ล่าสุดจัดเมื่อวันที่ 24-27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ชื่องานว่า Commart X'Gen 2010

เกริ่น 3 จขบ เคยทำงานกับ Microsoft มาแล้วสองครั้ง ในฐานะ..เอ่อ..เรียกว่าเป็น...เอิ่ม...ผู้สาธิตผลิตภัณฑ์ หรือ ชื่อหรูๆว่า Product Demonstrator (ตั้งเองสดๆร้อนๆ)

เข้าเรื่อง...

เมื่อวันเสาร์ อาทิตย์ที่ 25-26 มิ.ย. หรือประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว
จขบ ได้มีโอกาสร่วมงานกับ Microsoft อีกครั้ง ในงาน Commart X'Gen 2010!!! ซึ่งเป้าหมายของ Microsoft ในครั้งนี้คือ.. เปิดตัว Microsoft Office 2010!!!!!!!!! (sfx: เสียงปรบมือ) หลายคนที่ไม่ได้ติดตามอาจจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ฮะ!!? Office 2007 ยังใช้ไม่คล่องเลย ออกตัวใหม่อีกแล้วหรออออ?" ใช่ครับ เราออกตัวใหม่แล้วครับ และแน่นอนครับว่าหน้าที่ของ จขบ ในงานนี้ก็ยังคงเป็นการสาธิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งหน้าที่หลักๆคือโชว์ฟีเจอร์ใหม่ๆของ Office 2010 ให้ลูกค้าชม ในงานนี้จุดสาธิตกับจุดขายแยกกัน เมื่อมีลูกค้าที่เห็น demo แล้วสนใจจะซื้อ เราก็มีหน้าที่บอกตำแหน่งของจุดขายให้แก่ลูกค้า จะเห็นได้ว่างานของ จขบ ส่งผลโดยตรงกับยอดขายเลยทีเดียว ^^

โดยปกติแล้ว จะมาทำงานนี้ได้ ต้องผ่านการเทรนนิ่งมาก่อน แต่เค้า(ดัน)จัดเทรนนิ่งวันจันทร์ ซึ่ง จขบ ติดเรียน และพี่ที่ Microsoft บอกว่า "น้องผ่านมาหลายงานแล้ว ไม่ต้องเทรนหรอก" จขบ ก็เลยได้มาทำงานโดยปราศจากความรู้ใหม่เกี่ยวกับ Office 2010 (แต่ยังพอมีความรู้เดิมๆจากงานคราวก่อน) บู๊ท Microsoft ในคราวนี้แบ่งเป็นสองส่วนอย่างที่บอกไปแล้ว ส่วนแรก เป็นจุดที่ให้ข้อมูล และ demo ผลิตภัณฑ์ อยู่โซน M1 (เข้าศูนย์ตรงประตูที่มี Starbucks เดินตรงขึ้นมาก็เจอเลย) ตรงนี้จะมีโน้ตบุ๊คอยู่ 8 เครื่องกับพีซีอีก 2 เครื่อง เพื่อใช้ demo Office 2010 หรือ Windows 7 (ถ้าลูกค้าสนใจ) ส่วนที่สอง เป็นจุดขายอยู่ใน plenary hall ประกอบด้วยบู๊ทย่อยของตัวแทนขาย อาทิเช่น speed
banana IT
JIB
IT City

เป็นต้น ซึ่งแต่ละที่ขายราคาไม่เท่ากัน มีของแถมไม่เหมือนกัน

งานของ จขบ อยู่เฉพาะในส่วนแรกเท่านั้น ซึ่งงานจริงๆแล้วจะเป็นการตอบคำถามต่างๆของลูกค้าเสียมากกว่า ลูกค้าที่เข้ามามีหลายประเภทมาก ตั้งแต่พวกที่เดินเข้ามาหยิบของฟรี กลุ่มนักเรียนที่อาจารย์บังคับให้มาดูงานทำรายงาน พวกที่เข้ามาผิดเพราะนึกว่าเราขายคอม พวกที่ความรู้แน่นเข้ามาจับผิด พวกที่ไม่รู้เรื่องแต่จะซื้อไปให้ญาติโกโหติกา พวกที่คิดว่าของลิขสิทธิ์ราคาเท่ากับแผ่นก๊อปที่พันธ์ทิพย์ รวมถึงพวกลูกค้าที่น่ารัก ฟัง demo อย่างตั้งใจรวมทั้งส่งเสียงแสดงความตื่นเต้นแต่พองามอีกด้วย หลังจากทำงานครบสองวัน จขบ ก็สามารถจัดอันดับคำถามที่ไม่อยากเจอมากที่สุดไว้ได้ดังนี้

ห้า.
"หนูๆ ป้าจะซื้อโน้ตบุคใหม่อ่ะจ่ะ เอายี่ห้อไหนดี?"

กล้าถามเราก็กล้าตอบครับ แต่ป้าครับ แนะนำทีนึงมันก็ค่อนข้างเสียเวลานะครับ ยิ่งคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกียวกับคอมเลยนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ก่อนจะซื้ออะไร ช่วยศึกษาข้อมูลมาจากย้านซักนิดนึงก็ยังดีครับ

สี่. "ของแท้?? ทำไมแพงจังอะ ชั้นไปลงที่พันธ์ทิพย์แค่ร้อยเดียวเอง"

เอิ่ม... ก็ไม่ได้ว่านะครับ ถ้าคุณจะไม่ใช้ของลิขสิทธิ์ แต่นี่มันบู๊ทขายของลิขสิทธิ์นะคุณ!!! มันใช่ที่ที่จะโชว์ว่าตัวเองใช้ของปลอมมั้ยเนี่ย เจอคำถามนี้เข้าไปก็ได้พูดครับ แล้วยิ้มเจื่อนๆให้

สาม.
"อ่าว ไม่ได้ขายคอมหรอ?"

รู้มั้ยครับ พอเจอคำถามแบบนี้บ่อยๆเข้า ก็อยากจะติดป้ายตัวโตๆว่า "ที่นี่ขายเฉพาะซอฟต์แวร์!!!!!!!!!!!!"

สอง.
"Windows 7 ดีกว่า Windows XP ยังไง?"

อันดับหนึ่งจากงานคอมมาร์ตครั้งที่แล้ว ...

เข้าใจครับว่าหน้าที่ของเราคือตอบคำถามแบบนี้ แต่เคยคิดบ้างมั้ยครับว่าคำถามสั้นๆแบบนี้จะตอบได้ยาวเป็นชั่วโมง ถ้ามีคนมาถามในช่วงที่ยังขยันอยู่ ก็จะตอบไปตามความเป็นจริง "ครับ ไม่ทราบว่าพี่/ป้า/น้า/อา ใช้ Windows รุ่นไหนอยู่ครับ...อ่อ..ใช้ XP หรอครับ..Windows 7 จะต่างกับ XP ค่อนข้างเยอะนะครับ เริ่มจาก interface ก่อน..บลา บลา บลา.." ลูกค้าส่วนมากจะไม่ฟังจนจบ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี และยิ่งถ้าลูกค้ามาถามตอนที่ จขบ อยู่ในภาวะหมดแรง คำตอบจะเป็นอีกแนว คือตอบกว้างๆไม่ลงรายละเอียด ไม่มี demo ให้ดู เช่น "Windows 7 เกิดจากการนำข้อดีของทั้ง XP และ Vista มารวมกัน..." จะเห็นได้ว่า แค่เกริ่นให้ฟัง มันก็น่าเบื่อแล้ว

และอันดับหนึ่ง ก็คือ............ (sfx: แทม ทะละแลมแทมแท่ม แท่มแทมแท้มมมม)


หนึ่ง.
"
Office 2010 มีอะไรต่างจาก 2007?"

...

หลายคนอาจจะคิดว่าคงเป็นเพราะเหตุเดียวกับข้อที่แล้ว แต่ไม่ใช่ครับ!!! เหตุผลที่คำถามนี้คว้าอันดับหนึ่งไป คือ ..อย่าตกใจนะครับ มันไร้สาระมาก..... เพราะว่าคนถามบ่อยมากน่ะสิครับ!!! และคำตอบมันก็ไม่ได้สั้นๆ แถมต้อง demo ให้ดูอีก แรกๆก็โอเคครับ เพราะเราก็สนุกกับ demo เหมือนกัน แต่พอเยอะๆเข้ามันก็แบบ..เฮ้ย..อัดวีดีโอแจกเลยดีมั้ยครับ?


ถึงจะเหนื่อย เมื่อย ล้า และคอเจ็บ แต่คอมมาร์ตครั้งนี้ก็ให้สิ่งดีๆแก่ จขบ มากมาย ทั้งเงิน (สำคัญมากๆๆๆ) ข้าวฟรี ประสบการณ์ และเพื่อนใหม่ๆ ถ้าคราวหน้ามีคนชวนอีก ถ้าไม่ติดอะไร ก็จะไปให้ได้ครับ ใครสนใจจะมาร่วมงานกันติดต่อ จขบ ได้นะครับ

เจอกันใหม่ใน entry หน้า...




วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Intro to Innovative Blog

คำศัพท์เฉพาะที่ควรรู้ก่อนอ่าน blog นี้ : จขบ ย่อมาจาก เจ้าของ blog หมายถึงผู้เขียน blog นี้นั่นเอง =)

เหตุผลที่ใช้ชื่อ blog นี้ว่า Innovative Blog มี 2 ข้อ คือ

  1. จขบ เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ดีเยี่ยม จริงหรือไม่จริงอย่างไร โปรดติดตามชมตอนต่อไป
  2. Blog นี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานในวิชา 2110191 Innovative
    Thinking สอนโดยอาจารย์ ธงชัย โรจน์กังสดาล
  3. .........

แม้ว่าจะได้บอกไปแล้วว่าการเขียน blog นี้เป็นงานอย่างหนึ่ง แต่โดยทั่วไปแล้วถ้าคิดว่ามันเป็นงาน เราก็จะไม่สนุกกับมัน ดังนั้น จขบ จะถือว่าการอัพ blog นี้เป็นงานอดิเรกอย่างนึง(ที่ต้องทำเป็นประจำ)
ก่อนที่จะเขียนถึงกิจกรรมการเรียนการสอนในคลาส Innovative Thinking ขอเกริ่นนำเกี่ยวกับวิชานี้สั้นๆก่อน ว่าเป็นวิชาเกี่ยวกับอะไร? ทำไม จขบ ถึงสนใจเรียนวิชานี้?

Intro to Innovative Thinking…

ก่อนอื่นต้องขอสารภาพว่ารู้จักวิชานี้ผ่านเพื่อนที่เคยเรียนมาก่อน ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นวิชาที่ได้ A ง่ายมาก มีแต่งาน ไม่ต้องสอบ และในขณะนั้น จขบ กำลังหาวิชาเลือกเรียนวันศุกร์อยู่พอดี ตอนแรกก็เห็นแล้วว่าวิชานี้คนลงทะเบียนเรียนเต็มไปแล้ว แต่ก็ยังหน้าด้านเข้าไปเรียน เผื่อว่าอาจารย์จะใจดีให้เรียนเพิ่ม แต่จริงๆแล้วแอบทำใจไว้แล้วแหล่ะว่าอาจจะไม่ได้เรียน เมื่อลองเรียนคาบแรกดู ก็ประทับใจในการสอนของอาจารย์ อาจารย์มีเทคนิคการพูด และการสอนที่ทำให้เวลาเรียนสามชั่วโมงนั้นไม่น่าเบื่อเลย จึงเกิดความคิดว่า เราต้องเรียนวิชานี้ให้ได้!!! และแล้วในที่สุด ด้วยผลของความพยายามในการ refresh หน้าเว็ปลงทะเบียนเรียนอยู่บ่อยๆ ทำให้ จขบ ได้เป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียน Innovative Thinking


 

Innovative thinking… หลังจากที่ได้สัมผัสมาสามคาบ เป็นเวลาราว 9 ชั่วโมง ก็สามารถให้คำจำกัดความสั้นๆเกี่ยวกับวิชานี้ได้:
"วิชานี้เป็นวิชาที่เสริมสร้างให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ และนำความคิดสร้างสรรค์ไปใช้ประโยชน์ในชีวิต" อ่านถึงตรงนี้อาจจะมีผู้อ่านหลายคนสนใจอยากรู้ว่ากิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียนนี้เป็นอย่างไร อาจารย์มีวิธีสอนอย่างไรที่จะฝึกให้เราเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะกล่าวในการอัพ blog ครั้งต่อๆไป


 

กลับมาที่เรื่องของ blog ก่อนที่จะลงมือทำอะไรซักอย่างเราควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน การเขียน blog นี้ก็เช่นกัน นอกจากเป้าหมายเรื่องคะแนนรายวิชาแล้ว จขบ จะกล่าวถึงเป้าหมาย หรือสิ่งที่คาดหวังว่าจะได้รับจากการเขียน blog

  1. คะแนน... เอ๊ย เราจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ 55
  2. พัฒนาทักษะในการเขียน ข้อนี้เป็นอะไรที่ต้องการมากที่สุด เนื่องจาก จขบ ไม่ได้เขียนอะไรแบบนี้มานานพอสมควร ทำให้ขาดความคล่องตัวในการเขียน และความสละสลวยของการใช้ภาษา
  3. เพิ่มระดับความคิดสร้างสรรค์ของ จขบ
  4. รวบรวมเกร็ดความรู้ ข้อคิด เทคนิคต่างๆที่ได้จากการเรียนวิชา Innovative Thinking
  5. แบ่งปันความรู้ ความสนใจของ จขบ ให้กับผู้อ่าน
  6. .......

ส่วนสิ่งที่ผู้อ่านน่าจะได้จาก blog นี้ คือ!!!

  1. ...........
  2. ...................
  3. ..........................
  4. .................................
  5. .........................................
  6. ...............................................

เอ่อ.. ผู้อ่านจะไม่ได้อะไรจาก blog นี้หรอก เพราะว่า จขบ แกล้งทำเป็นคนมีสาระ แต่จริงๆแล้ว จขบ เป็นคนไร้สาระสุดขั้ว แต่เพราะนี่เป็นการอัพครั้งแรก เลยเขียนให้ดูมีสาระไว้ก่อน ขอบคุณทุกคนที่อ่าน blog นะครับ อย่าลืมทิ้งคอมเม้นต์ไว้เป็นกำลังใจให้ จขบ บ้างนะ


 

โปรดติดตามชมตอนต่อไป...